.……….เราทุกดวงจิตที่ต้องต่อสู้มากมาย ดิ้นรนขวนขวายมากมาย แสวงหามากมาย…เพื่อกาย …เพื่อคนที่เกี่ยวข้องกับกาย….เพื่อชีวิต ก็คือกายอีก …ต้องดิ้น ต้องรน ต้องทุกข์ ต้องทน ….ก็เพราะว่าเราไปทำหน้าที่แห่งกิเลส  …ไปทำหน้าที่แห่งตัณหา …
….ก็เลยต้องดิ้นอยู่อย่างนั้น   …. ทุกข์อยู่อย่างนั้น……..
    เราจงทำหน้าที่แห่งบุญคือความสุข คือรักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ เติมปัญญาให้รู้แจ้ง แล้วหน้าที่แห่งความดีที่เราทำนั้น ก็จะนำพาความสุขความเจริญ นำพาสิ่งที่ดีที่งามเข้ามาในชีวิตของเราเองนั่นแหละ…

……..ทำความดีไปเถอะลูก! ความดีจะนำพาให้เราได้รับสิ่งที่ดี …..สิ่งที่ดีจะค้ำหนุนตัวเราและคนรอบข้าง ค้ำหนุนทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเรามา ….. ค้ำหนุนทุกดวงจิตให้ได้พบกับความสุขอย่างแท้จริง……
       เราทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ ทำความดี เพื่อที่จะดับความชั่วในเรา ชีวิตเราย่อมเป็นไปในทิศทางที่ดี แล้วความดีจะนำพาให้เราหลุดพ้น

ถ้าเราทำหน้าที่นี้ไม่ได้ เราก็จะถูกความชั่วคุกคาม ความชั่วนั้นคือความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ คือความอยาก ความไม่อยาก การยึดติดลุ่มหลง ดิ้นรนขวนขวาย หลงใหลไปกับสิ่งทั้งหมดทั้งหลาย

สิ่งเหล่านี้เขาก็จะคุกคามเราได้ พาให้เราวุ่นตาม ทุกข์ตาม จมอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบรู้สิ้น เกิดแล้วไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เป็นทาสของกายมาแล้วไม่รู้เท่าไร……………………

จงเลิกกันเถอะนะ! เลิกทำหน้าที่แทนกิเลสตัณหา…….
ให้ทำหน้าที่ของตน คือ ดูแลความดี อยู่ในกรอบของศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา  รักษาความดีเหล่านี้ไว้กับตน อย่าให้กิเลสมันมาคุกคามเราได้ มาพาเราไปจมอยู่ในความทุกข์ได้ลูก!………..

…………………………………………………….

<< ภาพมายา >>

…..พระยาธรรมเอย! สิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ทั้งสุขและทุกข์ เป็น “ภาพมายา” ลูก! จิตของเราถูกครอบงำด้วยหัวหน้ามาร คือ “ความหลง”

เมื่อความหลงครอบงำเราได้แล้ว เราก็เลยหลงอยู่ในวัฏสงสาร หลงอยู่ในสิ่งสมมติทั้งหลาย ที่สมมติมี สมมติเป็น สมมติทำ ต่างๆ……

“สุข” ก็เป็นเพียงแค่สิ่งสมมติขึ้นมา เป็นภาพมายาหลอกตาหลอกจิตของเรา ทำให้เรานี้คิดว่าสุขจริง

“ทุกข์” ก็เป็นเพียงแค่ภาพมายา เป็นสิ่งที่หลอกให้เรานี้ไม่รู้ตามความเป็นจริง หลงไป คิดไป ยึดไป

ทุกข์ก็ทุกข์เหลือเกิน สุขก็เพลิดเพลินไปกับมัน แท้ที่จริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้นล่ะลูก! หลอกให้เราไม่รู้ตามความเป็นจริง ลูก!

ฉะนั้น วันนี้ลูกทั้งหลายตั้งจิตตั้งใจหาตัวตนให้เจอ โดยการวางทุกอย่าง ไม่ยึดไม่ถือ ไม่เอาอะไร ทำจิตใจให้สงบให้ว่าง น้อมพลังบริสุทธิ์จากพระนิพพานสู่ตน เติมพลัง ชาร์จพลัง ให้กับจิตของตนลูก!

เมื่อจิตของเราทรงพลัง พลังสว่างไสวเกิดขึ้นในตัวของเราแล้ว เราก็จะรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริง  เราจะเห็นว่าทุกอย่างเป็นภาพมายา ทุกข์ก็เป็นภาพมายา สุขก็เป็นภาพมายา เขามีคลื่นดูดให้จิตของเราจมไปสู่ภาพมายาเหล่านั้น คือ อำนาจแห่งความหลง ลูก!

เมื่อเราวางจิตนิ่งเฉย ตั้งจิตของเราเอาไว้ที่ความว่าง ความเบาสบาย ความหลงไม่มี ไม่ยึดในอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น  สุข ทุกข์ หรือสิ่งสมมติใดๆ ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้ จิตของเราทรงพลังอยู่ในความนิ่งสงบ เราก็จะเป็นอิสระ หลุดลอยอยู่เหนือสิ่งสมมติทั้งปวง

…………………………………………………

 พระยาธรรมเอย! ฝึกจิตของตนให้นิ่งเฉย ฝึกจิตของตนให้รู้ตื่น ฝึกให้รู้และเข้าใจตามเหตุตามผลของภาพมายาต่างๆ ทั้งหลาย เช่นนี้ลูก!

คลายความกังวล คลายความเศร้าหมอง คลายความอยากความยึดทั้งหลาย ปล่อยใจให้นิ่งเฉย ว่าง และ เบาสบาย สร้างพลังของจิตเช่นนี้ สร้างไปเรื่อยๆ สร้างให้โตขึ้นเรื่อยๆ จิตของเราก็จะอยู่เหนือคลื่นกิเลสตัณหา สิ่งทดสอบต่างๆ ทั้งหลาย

…………………………………..

จิตดวงใดก็ตาม เมื่อมีพลังแห่งความรู้ตื่นมาก จิตดวงนั้นก็จะเห็นภาพมายา สิ่งที่เป็นมายาหลอกตานั้นได้ชัดเจนมาก ก็จะยิ่งคลายจากความทุกข์ ก็จะยิ่งคลายจากสิ่งสมมติทั้งหลาย ความหลงจะค่อยๆ ถูกชำระล้างออกไปจากจิต สิ่งที่ครอบงำทั้งหลายก็จะค่อยๆ หลุดลอยออกไป ทำให้ครอบงำอะไรไม่ได้อีก เพราะจิตของเรานี้รู้ตื่นสว่างไสวแล้ว สิ่งครอบงำจึงครอบไม่ได้ จิตของเราเกิดสภาวะ “ความรู้แจ้งตามความเป็นจริง”

เมื่อเรารู้แจ้งตามความเป็นจริง ความสงบสุขก่อเกิดขึ้น ความรู้แจ้งเข้าใจในเหตุในผลก่อเกิดขึ้น ทำการสิ่งใดไป เราก็จะทำไปอย่างผู้มีสติมีปัญญา และก็จะทำโดยไม่หลงไม่ยึด

ฉะนั้น พระยาธรรมเอย! ทางเส้นเดียวที่จะปลุกจิตของลูกทั้งหลาย ให้ลูกทั้งหลายนั้นดำเนินอยู่บนทางสายกลาง ก็คือการฝึกจิตของลูกให้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ฝึกจิตของลูกให้เป็นกลาง ปล่อยจิตของลูกให้ว่าง รู้เห็นทุกอย่างที่ดำเนินไป จิตจะคลายความยึดติดเศร้าหมอง จิตนี้จะตั้งหลักได้อยู่ท่ามกลางแสงสว่างอย่างรู้ตื่น

…………………………………………………………………….

จิตที่ฝึกเช่นนี้ ฝึกเป็นประจำ ฝึกบ่อยๆ จิตเรานั้นจะไม่น้อมเอาสภาวะใดมากระทบตนลูก! และจะสามารถสำเร็จในการฝึกจิตได้ลูก! เช่นนี้ล่ะพระยาธรรม! ลูกก็พอจะพิจารณาตามโดยการใช้จิตของตนให้เป็นกลาง เห็นตามคลื่นของกิเลสคือความหลง ที่ฉุดดึงให้ลูกเข้าไปเห็นภาพมายาต่างๆ ทั้งสุขและทุกข์ แล้วไปยึดเอาภาพมายาเหล่านั้นมาเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา พลอยสุขพลอยทุกข์ตาม แต่แท้ที่จริงแล้ว จิตของเราไม่มีกิเลส จิตของเราไม่มีสุขมีทุกข์ ไม่มีสมมติและมายาใดทั้งหมดทั้งสิ้น

จิตที่หมั่นฝึกตนให้ตั้งมั่น สว่างเช่นนี้ ย่อมพ้นทุกข์ พ้นมายาทั้งหลาย ย่อมไมตกเป็นทาสแห่งความหลง ย่อมไม่หลงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทะเลทุกข์ ย่อมหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้

พระยาธรรมเอย! พอจะเข้าใจเช่นนี้อย่างนี้แล้วหรือยังเล่า! จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด……..

………………………………………………………………………………….

<< จงรู้ตื่น >>


…ลูกเอ๋ย! กาลเวลาไม่เคยรอใคร ไม่มีใครหยุดมันไว้ได้…..

เราจึงจำเป็นที่จะต้องรู้ตื่นอยู่เสมอ รู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา

เพื่อที่จะทำสิ่งที่จะเกิดประโยชน์ให้กับตน ตนในที่นี้

ก็คือดวงจิตนี่แหละลูก! ไม่ใช่แค่กายนี้ …..

กายเป็นเพียงแค่ของหยิบยืมมาจากธรรมชาติชั่วครั้งชั่วคราว แต่เขาไม่ใช่เราลูกเอ๋ย!……

<< ผู้รู้ตื่นเป็นแบบไหน? >>


 

…อย่างไรจึงเรียกว่าเป็นผู้รู้ตื่นรู้แจ้งโลก?

วิธีการฝึกฝนตนเพื่อให้เป็นผู้รู้ตื่นรู้แจ้งโลก 

 

<< การอยู่อย่างรู้ตื่น >>


 

……..เราควรที่จะวางจิตอย่างไร …..

จึงจะสามารถที่จะดำเนินชีวิตแบบผู้รู้ตื่น

 

<< ปลุกจิตให้รู้ตื่น ๓ ขั้น >>

 

….พระยาธรรมเอย! การที่ดวงจิตของเรานั้นถูกอำนาจแห่งกิเลสตัณหา กรรมวิบาก สิ่งสมมติทั้งหลาย ครอบงำได้นั้น สาเหตุเกิดจากการที่เรามีพลังของตนไม่มากพอ…..

 

จึงจำเป็นที่จะต้องทำความดี สร้างความดีเป็นพื้นฐานเสียก่อน

ทำดีด้วย การรักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ ฝึกฝนปัญญา สั่งสมบารมี ๑๐ ทัศ ทำดีไปเรื่อยๆ จิตก็จะรู้ตื่น เข้าใจตามกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริง

เมื่อเข้าใจตามกฎแห่งกรรมแล้ว ยอมรับและเข้าใจกฎธรรมชาติ ว่าทุกสิ่งเกิดตามเหตุ ตั้งอยู่ตามเหตุ  ดับไปตามเหตุ จิตก็จะถอดถอนความยึดติด ลุ่มหลง

เมื่อถอดถอนความยึดติด ลุ่มหลง กรรมวิบากไม่ดีไม่ได้ทำ ทำดีก็ไม่ได้ยึด  ทำสักแต่ว่าทำ สรรพสิ่งทั้งหลายก็ไม่ได้ไปยึดติดกับสิ่งใด มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เดี๋ยวมันก็จะดับไป เมื่อทำเช่นนี้ได้ จิตของลูกก็ย่อมจะเป็นผู้รู้ตื่น เช่นนี้ล่ะ! พระยาธรรม

การปลุกจิตให้รู้ตื่น ๓ ขั้น ให้ดำเนินตามนี้นะ และลูกทั้งหลายก็จะเป็นผู้มีอิสระ จะเป็นผู้อยู่เหนือกรรมวิบาก  อยู่เหนือความยึดติดสิ่งสมมติ อยู่เหนือกิเลสตัณหา เป็นผู้ที่มีจิตที่สว่างไสว รู้ตื่น รู้แจ้งโลก ถึงซึ่งพระนิพพานได้ พระยาธรรมเอย!…....

จิตรู้ตื่น ๓ ขั้น มีดังนี้ :-

ขั้นที่ ๑ – รู้ตามความเป็นจริงในเรื่องของกฎแห่งกรรม

ขั้นที่ ๒ – รู้ตามความเป็นจริงในเรื่องของกฎแห่งไตรลักษณ์

ขั้นที่ ๓ – เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เปิกบาน ผู้เห็นแจ้งตามความเป็นจริงในสมมติทั้งหลาย จิตอยู่เหนือกรรมวิบาก อยู่เหนือกรรม อยู่เหนือสิ่งที่ทำไป ดำเนินไป จิตอยู่เหนือความยึดติดในการมีการเป็นทั้งหลาย จิตนั้นจึงยืนดูอยู่อย่างผู้รู้ตื่น สักแต่ว่าเห็นทุกอย่างดำเนินไปตามเหตุของมัน เช่นนั้นอย่างนั้นเอง

……………………………………………………………………………..

<< ปลุกจิตให้รู้ตื่นจากพระนิพพาน >>

…วิธีการปลุกจิตให้รู้ตื่น และฝึกจิตให้เป็นพุทธะ

วิธีการประพฤติปฏิบัติพิจารณาถอดถอนสิ่งที่ปกคลุมควบคุมอยู่

ทำให้จิตนั้นไม่สามารถเป็นพุทธะได้ ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสตัณหา

เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทะเลทุกข์นี่

………………………………………………………………………………….

……..พึงรู้ตื่น…….

 …… จิตกำลังรู้ตื่น…… 

…สภาวธรรมของจิตที่รู้ตื่น…

………………………………………………………………………………….

<< โอวาทธรรมวันวิสาขบูชา ‘๖๓ >>

 

 

        วันนี้ถือเป็นวันเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระธรรมคำสอนที่ลงสู่โลกโดยผ่านพระยาธรรมิกราช

วันนี้ถือเป็นวันที่น้อมเอาพระธรรมขององค์พระพุทธเจ้าลงมาเผยแผ่อีกครั้งหนึ่งในกึ่งพุทธกาลจนกว่าจะสิ้นสุดพระพุทธศาสนานี้ พระยาธรรมเอย!
ฉะนั้นวันนี้จึงเป็นวันสำคัญ สำคัญมากยิ่งกว่าทุกๆ วันที่เป็นวันวิสาขบูชาที่ผ่านๆ มา เป็นวันที่ เทพ พรหม เทวา นาคี นาคา ทั้งหลาย ต่างพร้อมใจยินดีสรรเสริญทั่วโลกธาตุ

พระยาธรรมเอย! วันนี้เป็นวันที่พระธรรมได้เกิดขึ้นแล้วอีกครั้งหนึ่งหลังกึ่งพุทธกาล เริ่มต้นใหม่ในการเผยแผ่พระธรรมที่อุดมสมบูรณ์ พระธรรมเกิดขึ้นแล้ว และจะอุดมสมบูรณ์มากในยุคนี้

พระยาธรรมเอย! เมื่อพระธรรมได้เกิดแล้ว การบรรลุธรรมก็จะเกิดขึ้นตามมากมายเช่นเดียวกัน ฉะนั้นการตรัสรู้ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ก่อเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยส่งผ่านกลับมาด้วยพระธรรมที่ลูกน้อมมาเผยแผ่

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ รู้แจ้งโลกจักรวาล วัฏสงสาร จะถูกเปิดเผยออกมาพร้อมด้วยพระธรรมที่ลูกน้อมลงมา นั่นแหละลูก!

การบรรลุธรรมจึงจะก่อเกิดขึ้นแก่ดวงจิตทั้งหลายมากมายในวัฏสงสารนี้ พระยาธรรมเอย!

และการปรินิพพานถึงซึ่งพระนิพพาน ดวงจิตที่จะเข้าสู่พระนิพพานก็จะก่อเกิดขึ้นพร้อมกันอีกมากมาย

………………………………………………..

…..พื้นปฐพีนี้จะเต็มไปด้วยองค์พระอรหันต์ดั่งยุคพุทธกาล …..

…………………………………………………

….ในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป จะเป็นเวลาที่มีคุณค่ามาก เป็นยุคแห่งทองคำ เป็นยุคแห่งนาทีทอง!…..

………………………………………………..

ลูกทั้งหลายเอ๊ย! ต่อจากนี้ไปพระธรรมของพระพุทธองค์ การเผยแผ่พระธรรม จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และทุกสิ่งทุกอย่างจะอุดมสมบูรณ์มากในยุคนี้ในช่วงนี้………..

……………………………………………………………………………..

.…จิตมืดบอด.….

…คลื่นความร้อนมากระทบ…

    …คลื่นความรักความหลง….

.…..แก้ไขจิตที่วิตกกังวล…..

การถอดถอนสิ่งที่ฝังรากลึก

………ทำดีสมบูรณ์………..

…..ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น…

…ท่านรออะไรอยู่

…..มนุษย์เกิดมาทำไม?