<< รู้แจ้งในอริยสัจ >>
….. ความจริง 4 ประการ ……
ที่บุคคลผู้ปรารถนานิพพานควรประพฤติปฏิบัติตาม
เมื่อได้รู้และได้เข้าใจถึงเหตุที่ทำให้เราลุ่มหลงจมอยู่ ถึงสิ่งที่ทำไปโดยเสียเวลาเปล่า และเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นเพียงแค่สิ่งที่ยิ่งทำไปก็ยิ่งทุกข์ รู้แจ้งใน 2 สิ่งนี้แล้วด้วยปัญญาอันรู้ตื่น เมื่อได้มองเห็นความจริงที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอยู่ 8 ข้อ ที่ควรประพฤติปฏิบัติตามเส้นทางทั้ง 8 ข้อนั้น แล้วก็จะสามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ จึงได้มีความรู้ตื่นแตกฉาน มองเห็นความเป็นจริงอีก 4 ข้อ ที่อยู่ในอริยสัจ 4 คือความจริง 4 ประการ ดังนี้ล่ะ พระยาธรรมเอย!
ได้มองเห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว คนเรานั้นมีทุกข์อยู่ 2 สิ่ง :-
ทุกข์ที่ 1 ก็คือ ทุกข์ในร่างกาย
ทุกข์ที่ 2 ก็คือ ทุกข์ในจิตใจ
ทุกข์กาย ทุกข์ใจ นั่นคือความทุกข์ที่เกิดขึ้น ครอบงำ มีอยู่ กับดวงจิตทั้งหลายเป็นธรรมดา
บุคคลผู้ใดก็ตามที่หมั่นฝึกฝนพิจารณาให้ตนเห็นแจ้งในทุกข์ เห็นว่ามีกายนั้นเป็นทุกข์ การที่พลัดพรากจากสิ่งของอันเป็นที่รักที่พอใจ การผิดหวังสมหวังเพียงชั่วคราว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นทุกข์
บุคคลผู้รู้จักทุกข์ในคำว่าชีวิต รู้และเข้าใจ ทำความเข้าใจให้เห็นแจ้งในทุกข์เหล่านั้น จึงจะสามารถที่จะมีสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ นำพาจิตดวงนั้นให้เกิดความเบื่อหน่าย และปรารถนาที่จะหาหนทางออกจากกองทุกข์นั้นไป จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่บุคคลทั้งหลายเมื่อต้องการความพ้นทุกข์ จึงควรทำตนให้เห็นทุกข์ พิจารณาให้เข้าใจในทุกข์ แล้วจึงจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย สิ่งที่จะค้ำหนุนตนให้ปรารถนาที่จะออกจากกองทุกข์นั้นไป เพราะว่าคนเรานั้น ปรกติแล้วเป็นเช่นนี้ พระยาธรรม!
ถ้ายังเห็นว่ากายนี้ดีอยู่ เห็นทุกข์แต่ไม่ชัดเจนอยู่ เห็นว่าการเป็นอยู่เช่นนี้ อย่างนี้ เป็นเรื่องที่ดี และมีความสุขอยู่บ้าง ทุกข์อยู่บ้างนั้น ย่อมไม่อาจเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บุคคลผู้นั้น พ้นจากความทุกข์ได้เลยเพราะเขายังคงเห็นว่าดีอยู่
บุคคลผู้ที่เห็นว่ากายนี้มีแต่กองทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด การพลัดพรากจาก ผิดหวัง สิ่งต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้เป็นทุกข์ บุคคลผู้มองเห็นทุกข์เช่นนี้เท่านั้น จึงจะเป็นบุคคลที่เกิดความเบื่อหน่ายในวัฏสงสารนี้ และหาวิธีออกจากกองทุกข์นี้ไป
พระยาธรรมเอย! เราได้พิจารณาถึงความจริงที่มันมีอยู่ในตัวบุคคลทุกคนเช่นนี้แหละลูก! จึงมองเห็นว่า บุคคลผู้จะไปสู่พระนิพพาน ผู้ที่จะสามารถบำเพ็ญตนให้บรรลุธรรมได้ จึงควรเป็นบุคคลผู้รู้แจ้งในทุกข์ เห็นทุกข์นั้นอย่างชัดเจน ปรารถนาจะออกจากทุกข์ เกิดความเบื่อหน่ายในวัฏสงสารนี้ (ความจริงข้อที่ 1)
ต่อไปความจริงข้อที่ 2 ก็คือ เหตุแห่งทุกข์นั้น คืออะไรบ้าง? เราควรที่จะประพฤติปฏิบัติตน ให้รู้ให้เข้าใจว่า อะไรบ้างที่จะทำให้เราต้องจมอยู่ในความทุกข์ และควรที่จะละสิ่งเหล่านั้นเสีย เช่น การลุ่มหลง พัวพัน มัวเมา อยู่กับสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย คือ การมีเชื้อแห่งกิเลส การอยากได้ อยากมี อยากเป็น ต่างๆ ทั้งหลาย คือเชื้อแห่งตัณหา ซึ่งเป็นเหตุแห่งความทุกข์ และเชื้อเหล่านี้จะเป็นเหตุที่นำพาให้เราสร้างกรรมที่ไม่ดี กรรมที่ไม่ดีก็จะเป็นเหตุแห่งทุกข์ และฉุดดึงเราเอาไว้ในวัฏสงสารนี้
ฉะนั้น สิ่งไหนที่มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เหตุที่จะทำให้เราเกิดอยู่ร่ำไป สิ่งนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราควรทำให้แจ้ง ควรที่จะตรึกตรองพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงในสิ่งเหล่านี้ แล้วหลบหลีก หลีกเลี่ยง จากการกระทำที่ไม่ดีที่จะทำให้ก่อเหตุแห่งทุกข์ขึ้นเหล่านั้นเสีย จึงควรพิจารณาเช่นนี้ด้วยลูก!
สำหรับบุคคลผู้ที่ปรารถนาจะพ้นจากความทุกข์ ปรารถนา มรรค ผล นิพพาน ลูกเอ๋ย! ถ้าเราไม่รู้ว่าสิ่งใดคือความทุกข์ เป็นเหตุแห่งทุกข์ เราก็จะไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงจากการกระทำสิ่งเหล่านั้น และสิ่งเหล่านั้นก็จะทำให้เราเกิดทุกข์อยู่ร่ำไป สิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นเหตุให้เราต้องเกิดอย่างไม่รู้จบ และการเกิดในคราวใดนั้น ความทุกข์ก็มีอยู่ในการเกิดนั้นอยู่แล้วเป็นธรรมดา
ฉะนั้น บุคคลผู้ที่ปรารถนา มรรค ผล นิพพาน จึงควรพิจารณาให้เห็นความจริงข้อนี้ คือรู้ว่าสิ่งใดที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ พอทำแล้วตนจะทุกข์ รู้ว่าควรละสิ่งเหล่านั้นเพื่อพ้นทุกข์ เช่นนี้ล่ะลูก! คือความจริงในข้อที่ 2 ของอริยสัจ 4 ความจริง 4 ประการ ที่บุคคลผู้ปรารถนานิพพาน ควรประพฤติปฏิบัติตาม ลูกเอ๋ย!
ต่อไป สิ่งที่มองเห็นชัดเจนอยู่ในข้อที่ 3 ของอริยสัจ 4 ที่ควรที่จะทำให้แจ้ง ให้รู้ตื่น เข้าใจ เข้าถึงนั้น ก็คือ การฝึกฝนตนให้เข้าใจการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ให้เข้าถึงจิตอันเป็นผู้รู้ตื่น ผู้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้นว่าเป็นเช่นไร ควรที่จะฝึกฝนตนให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วควรที่จะฝึกฝนตนให้เข้าถึง แล้วลูกนั้นจะมองเห็นความแตกต่างระหว่างการอยู่ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ กับการที่ถ้าหากว่าเราเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่นอกโลกนอกจักรวาล จิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ลูกก็จะรู้ถึงความแตกต่างของสิ่งทั้ง 2 นี้ว่าเป็นเช่นไร จึงเป็นสิ่งที่ลูกควรที่จะทำให้เข้าถึง เข้าใจ รู้ว่าการหลุดพ้นนั้นเป็นเช่นไร เพื่อจะได้รู้เหตุ รู้เป้าหมายที่ลูกจะเดินต่อไป เช่นนี้ล่ะ พระยาธรรม! คือข้อที่ 3 ที่ได้แตกฉานและรู้อย่างแจ่มแจ้งว่า บุคคลผู้ปรารถนานิพพาน ควรทำตนให้แจ้งในเรื่องนี้ด้วย ว่าการที่เราดับจากความทุกข์แล้วนั้น เป็นเช่นไร อย่างน้อยถ้าไม่ได้ทรงสภาวะจิตเอาไว้อยู่ ก็ได้รู้ ได้สัมผัส และเข้าใจก็ยังดี แล้วจึงค่อยๆ ฝึกฝนไปให้เข้าถึงสภาวธรรมเช่นนั้น พระยาธรรมเอย!
ต่อไปก็คือการที่เรานั้น จะต้องยึดหลักในแนวทาง เสันทางของการประพฤติปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะนำพาให้เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน คือความจริง 8 ข้อ ที่ควรน้อมไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อที่จะปลดล็อคดวงจิตของตนจากที่คุมขัง สู่ที่ที่เป็นอิสระ หนทางแห่งการประพฤติปฏิบัติเพื่อที่จะนำพาดวงจิตของตนให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ควรทำตนให้แจ้ง ให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในสิ่งเหล่านี้ และควรยึดหลักเหล่านี้มาประพฤติปฏิบัติตามให้เข้าถึง ซึ่งอยู่ในเรื่องของความจริง ความดี ข้อปฏิบัติ 8 ข้อ ที่เรียกกันว่า มรรคมีองค์ 8 เช่นนั้นล่ะ พระยาธรรม! (ความจริงข้อที่ 4)
ควรประพฤติปฏิบัติตามหนทางเส้นนี้ ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อน หรือตามที่ได้สรุปเอาไว้เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ก็คือ การมี ศีล สมาธิ และ ปัญญา แต่ว่าในกึ่งพุทธกาลนี้ ซึ่งต้องอาศัย “ธรรม” เป็นสิ่งที่ช่วยให้พ้นทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่ลูกจะต้องมีธรรมเข้ามาช่วยอีกตัวหนึ่ง ก็จะต้องเป็น ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ซึ่งอาจจะดูว่ามากกว่าเดิม 1 ข้อ แต่ที่จริงก็อยู่เท่าเดิมนั้นแหละลูก! อาจจะเป็น ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา จริงแล้วก็ไม่ต่างจาก ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา จริงแล้วก็ไม่ต่างจากการทำความดี เว้นจากการทำความชั่วด้วย กาย วาจา ใจ เช่นนี้อย่างนี้ล่ะ พระยาธรรมเอย!
เป็นสิ่งที่เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลนั้น ได้ฝึกฝน เรียนรู้ รู้ตื่น แตกฉาน ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จึงสามารถที่จะเห็นแจ้ง รู้ตามความเป็นปรกติ ความเป็นธรรมดาของธรรมชาติที่มันเป็นไปอยู่
เมื่อรู้และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว จึงสามารถที่จะยกจิตออกจากการพัวพัน ลุ่มหลง สิ่งต่างๆ ทั้งหลาย ที่มันครอบงำดวงจิตให้ตกเป็นทาสอยู่ในกรงขังแห่งกิเลสตัณหา อยู่ในกรงขังที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ และทำให้เราต้องทุกข์ทรมานอยู่ร่ำไป เช่นนี้ล่ะ พระยาธรรมเอย!
คือสิ่งที่มองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง สิ่งที่ปรากฏขึ้นชัดเจนแก่ดวงจิตของเรา ผู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลานั้น และสามารถที่จะหลุดจากสิ่งทั้งหลายที่กล่าวมานี้อย่างแท้จริงด้วยความรู้ตื่น จึงเป็นสิ่งที่ถือว่า ถ้าหากว่าเราจะเอาสิ่งเหล่านี้ ให้บุคคลผู้อื่นประพฤติปฏิบัติตาม เขากํจะสามารถเห็นตามเราได้เช่นเดียวกัน เช่นนี้ล่ะ พระยาธรรมเอย! พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า …….สาธุ เจ้าค่ะ! ……
พอจะเข้าใจเรื่องของอริยสัจ 4 ที่พระองค์ทรงพิจารณาและทรงรู้ตื่นแตกฉาน เห็นตามความเป็นจริง เมื่อครั้งสมัยที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ในวันนั้นที่พระองค์ทรงชนะกิเลสตัณหา ชนะการเวียนว่ายตายเกิด พระองค์ทรงเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความไม่ทุกข์อีกต่อไป เป็นอิสระ ไม่ต้องถูกคุมขังด้วยกิเลสตัณหา ความทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป พอจะเจ้าใจอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าค่ะ!
พระพุทธองค์เจ้าขา! แต่พระพุทธองค์ทรงมองเห็นสิ่งสุดท้ายคือ มองเห็นความเป็นจริงที่อยู่ในร่างกายของตนของบุคคลทั้งหลาย คือ ขันธ์ 5 นี้ด้วย อย่างนั้นใช่หรือเปล่าเจ้าคะ!
ถูกต้องแล้วพระยาธรรม! สิ่งสุดท้ายที่มองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ก็คือ ร่างกายของเรา ร่างกายของเขา คือ ขันธ์ 5 นั้นล่ะลูก! สามารถที่จะจำแนกแบ่งออกมาเป็น 5 สิ่ง และได้เห็นความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในร่างกายอย่างแจ่มแจ้ง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เรานั้นรู้ตื่นอย่างชัดเจน หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ..สาธุ เจ้าค่ะ …
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วล่ะ! พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตามนะเจ้าคะ! …………..สาธุ……………